ในปี 2563 “ไวรัสโควิด-19” ได้จู่โจมมนุษย์โลกให้บาดเจ็บและล้มตายแบบไม่ทันตั้งตัว นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ครั้งที่ผ่านมา โดยมีศูนย์กลางการแพร่ระบาดอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนที่จะแพร่ไปยังทั่วโลกอย่างรวดเร็ว อุบัติภัยครั้งนี้นับเป็นหายนะของมวลมนุษยชาติครั้งสำคัญ ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงโดยตรงต่อวิถีสังคม ความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจโลก ชนิดที่ไม่อาจกระพริบตา ในระยะแรก ประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้ดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไวรัสโควิด-19 ได้กลับมาเขย่าเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ตกวูบลงอีกครั้ง พร้อม ๆ กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังดิ่งลงเนื่องจากการแพร่ะระบาดของไวรัสโควิดรอบใหม่ เราจึงมีข้อมูลน่ารู้มารายงานเกี่ยวข้องกับไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและมาตรการการป้องกันของแต่ละประเทศดังนี้
โรคโควิด-19 เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า SARS-CoV-2 เริ่มระบาดครั้งแรกที่มณฑลหู่เป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการค้นคว้าวิจัยและระบุว่าไวรัสนี้มีโครงสร้างทางพันธุกรรมคล้ายคลึงกับไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคซาร์สและโรคมอร์สที่แพร่ระบาดใน พ.ศ. 2555 สามารถติดต่อผ่านทางละอองฝอย จากการไอจามรดกันในระยะ 1-2 เมตร ทางการสัมผัส ผ่านการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เช่น น้ำมูก น้ำลาย ทั้งโดยทางตรง หรือทางอ้อม แพร่กระจายทางอากาศ ซึ่งพบในกรณีผู้ป่วยไอมากและอยู่ในพื้นทีปิดอากาศถ่ายเทไม่สะดวก การดูดเสมหะ การใส่ท่อช่วยหายใจ เป็นต้น
ปัจจุบันแม้ว่าประเทศไทยและหลายประเทศในแถบเอเซียจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่าในประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็จริง แต่ก็อยู่ในสถานการณ์การเฝ้าระวัง รณรงค์ป้องกันและต่อสู้กับการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 ซึ่งมีความรุนแรงและรวดเร็วกว่าในระลอกแรก โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อ ไวรัสโควิด-19 ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 อยู่ที่ 162,525,588 คน มียอดสะสมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 3,371,049 ราย และรักษาจนหายกลับบ้านได้แล้วจำนวน 140,387,173 คน
มีรายงานจาก Worldometer ระบุว่า ประเทศสหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ติดอันดับ 1 ของโลก ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมสูงถึง 33,664,013 ราย จำนวนผู้เสียชีวิต 599,314 ราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ รัฐแคลิฟอร์เนีย มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดในประเทศ ถึง 3,767,083 ราย ตามมาด้วยรัฐเท็กซัส มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 2,932,639 ราย และรัฐฟลอริดาอันดับ 3 จำนวนผู้ติดเชื้อ 2,286,203 ราย
ประเทศญี่ปุ่น ที่ผ่านมาปฏิเสธการประกาศภาวะฉุกเฉินด้วยเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ก็ได้ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน เพื่อคุมสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ฮอกไกโด ฮิโรชิมา และโอกายามะ หลังจากพบจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 207,007 ราย ติดเชื้อรายวันสูงกว่า 3,000 ราย
สำหรับไต้หวันโมเดล ได้รับเสียงชื่นชมว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดอย่างได้ผลด้วยมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งเป็นการยอมเจ็บแต่จบ และอยู่ระหว่างแผนฟื้นฟูวิกฤตเศรษฐกิจในระยะแรก
ส่วนที่เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อรายวันสูงขึ้นในช่วงต้นปี 2564 เกินกว่า 1,000 ราย จึงใช้มาตรการเข้มงวดโดยประกาศห้ามรวมกลุ่มกันเกินกว่า 5 คน และสั่งปิดสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเพื่อควบคุมความเสียหายต่อเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่
ในประเทศมาเลเซียซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขั้นในช่วงปลายปี 2563 รัฐบาลมาเลเซียใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วน ซึ่งทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจของมาเลเซียไม่ได้รับความเสียหายมากนัก เพราะการใช้มาตรการเข้มงวดการล็อกดาวน์ จะส่งผลให้การบริโภคของภาคเอกชนฟื้นตัวเร็วขึ้น และพร้อมรับมือกับผลกระทบในระลอกที่ 3 นี้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีรายงานจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ (CEBR) ประจำปี 2021 ระบุว่า การที่เศรษฐกิจในประเทศตะวันตกได้รับผลกระทบยาวนานจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในระหว่างปี 2021-2025 ประเทศ จีนซึ่งสามารถปรับตัวโดยควบคุมการระบาดแพร่ระบาดของไวรัสได้ดีกว่า จะมีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้นกว่า 5.7% ต่อปี และอาจจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้ในปี 2028 ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 จะยืดเยื้อหรือยาวนาน ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกสักเพียงใด ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงพลังสร้างสรรค์และจิตวิญญาณความเป็นนักสู้ที่แฝงอยู่ใน DNA ของมนุษย์ทุกคน ที่มีจุดหมายเดียวกันในการฝ่าฟันวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้ในที่สุด